สำหรับคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติ กับบรรยากาศและวิวทิวทัศน์สุดอลังการ จอร์เจีย (Georgia) เป็นหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ และยังมีอะไรอีกมากมายที่น่าค้นหา แม้จะเป็นประเทศเล็กๆ ผู้คนไม่มาก แต่ก็อัดแน่นไปด้วยอารยธรรมประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ส่วนเรื่องการเดินทางอาจจะยังต้องใช้ความอดทน และใช้เวลา แต่บอกเลยว่าคุ้มค่าที่ได้ไป และค่าครองชีพแบบจับต้องได้
จอร์เจีย อยู่ตรงไหนของโลก?
ถ้ายังนึกไม่ออก ลองเปิดดูแผนที่แถวๆ รัสเซีย ตุรกี อาร์มีเนีย ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขา ที่อยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัส มีความเป็นยุโรปผสมกับเอเชียตะวันออกกลาง อาจจะไม่ได้เป็นเมืองที่สวยงาม ตึกรามบ้านช่องดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ แต่แอบซ่อนไปด้วยมนต์เสน่ห์ และความดิบของธรรมชาติที่ยังคงความงดงามแบบไม่ปรุงแต่ง ส่วนเรื่องประวัติขอไม่อธิบายมากแล้วกัน เพราะข้อมูลสามารถหาได้ทั่วไป เข้าเรื่องเที่ยวเลยดีกว่า...
สิ่งที่ต้องคิดเป็นอย่างแรกๆ ของการไปเที่ยวจอร์เจีย คงเป็นเรื่องการเดินทางที่ต้องใช้เวลาบินต่อเครื่อง เพราะยังไม่มีเที่ยวบินตรงจากไทยไปจอร์เจีย ถ้าไม่ใช่การซื้อทัวร์แบบเช่าเหมาลำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปเพราะมีหลายสายการบินที่สามารถไปได้ โดยใช้เวลารวมๆ ประมาณ 11-12 ชม. (ไม่รวมเวลาเปลี่ยนเครื่อง)
แนะนำสายการบิน
เราเลือกใช้ Emirates ลำใหญ่นั่งสบาย แต่เปลี่ยนเครื่อง 2 จุด ที่ฮ่องกง และดูไบ อาจจะดูเสียเวลา แต่ก็ถือซะว่าได้พักยืดเส้นยืดสาย ส่วนเที่ยวบินจาก ดูไบ ไปจอร์เจีย ต้องเปลี่ยนเครื่องไปเป็น Fly Dubai สายการบิน Low cost ในเครือ Emirates ซึ่งถ้าเราจอง Emirates ก็จะเป็นเที่ยวบินร่วม (Codeshare) ไม่ต้องจองแยก เวลา Check-in ขาไปจาก BKK ไปปลายทาง TBS พร้อมกระเป๋าได้เลย
ทริปนี้เดินทางระหว่างวันที่ 12-17 มกราคม 2020 ซึ่งก่อนหน้าเดินทาง 4 วัน ตามที่มีข่าวสายการบินหนึ่งประสบเหตุตกในอิหร่านในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบ เลยสองจิตสองใจว่าจะยกเลิกทริปนี้เลยหรือจะเลื่อนไปก่อน เพราะเที่ยวบินที่ไปจอร์เจียต้องบินผ่านน่านฟ้าอิหร่านเต็มๆ แต่ทำไงล่ะแพลนทุกอย่างไว้หมดแล้ว...ได้โทรเช็คกับทางสายการบินเพื่อความมั่นใจว่ายังสามารถบินได้ตามปกติ แต่ระหว่างทางอยู่บนเครื่องก็แอบระทึกอยู่ไม่น้อย และโชคดีที่ได้ตัดสินใจไปก่อนมีการประกาศปิดประเทศจากสถานการณ์โควิด-19
มีเวลาเที่ยวในจอร์เจียแค่ 5 วัน (ไม่รวมวันบินไป-กลับ) ทำให้ไม่สามารถเที่ยวได้ทุกเมือง สำหรับสายธรรมชาติอย่างเราก็เลยเลือกไปที่ Mestia, Ushguli ซึ่งถือว่าเป็น Must See ที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยอะ และก็เก็บตกที่เมือง Tbilisi นิดหน่อย
ก่อนเดินทางแทบไม่ได้เตรียมอะไรมาก เพราะคิดไว้ว่าจะใช้วิธีนั่งรถสาธารณะ+เหมารถเที่ยวเอาเอง ไม่ต้องจ้างไกด์ แค่มีแพลนคร่าวๆ แล้วก็ลุยเอาหน้างานเลย
เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แวะพักที่ฮ่องกง 7 ชม. ด้วยความที่ช่วงนั้นเที่ยวบินในแถบตะวันออกกลาง Delayed เกือบทุกเที่ยว เลยต้องเผื่อเวลาในการเปลี่ยนเครื่อง ไม่แนะนำให้หาไฟลท์ที่ติดกันเกินไป โดยเฉพาะที่สนามบินดูไบ ยิ่งต้องใช้เวลานานมากๆ คนที่บิน Emirates มาลงที่ดูไบ (DXB) ไม่ต้องใช้วีซ่า ถ้าไม่ได้ออกจากสนามบิน เครื่องจะจอดที่ Terminal 3 ถึงจุด Transfer Desk ให้ลงมาชั้น 1 เพื่อรอรถ Bus ไป Terminal 2
สายการบิน Fly Dubai จะอยู่ Terminal 2 (Gate F) ต้องนั่งรถอ้อมรันเวย์ไป ประมาณ 30 นาที โซนนี้จะห่างไกลจากความเจริญนิดหน่อย ภายในไม่ค่อยมีอะไรให้เดินเล่นมาก ใช้เวลารอเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบอีก 7 ชม. ก่อนจะบินต่อไป Tbilisi ประเทศจอร์เจียร์
ประมาณ 3 ชม. ก็ถึงสนามบิน Tbilisi เมืองหลวงของจอร์เจีย แต่ถึงช้ากว่ากำหนดไป 1 ชม. ทำให้ต้องมีการปรับแผนกระทันหัน เพราะคืนนี้เราต้องเดินทางต่อด้วยรถไฟ
หลังจากผ่าน ตม.มาได้อย่างราบรื่นพร้อม Welcome Drink เป็นไวน์ 1 ขวด ก่อนจะออกจากสนามบิน สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ซื้อ SIM Card และแลกเงินส่วนนึงไว้เพื่อใช้เข้าเมือง
SIM Card แนะนำซื้อที่ของ MAGTI (เคาน์เตอร์สีแดง) ราคา 30 GEL ใช้ได้ 5 วัน มีเน็ตให้ใช้เหลือเฟือ ส่วนเงินแลก USD มาจากไทย แล้วค่อยมาแลกเป็น GEL เรตราคาในสนามบินกับในเมืองไม่ต่างกันมาก (1 GEL = 10 THB) แลกพอใช้ แล้วค่อยไปแลกเพิ่มวันหลัง
ระหว่างนั้นตามประสานักท่องเที่ยวอย่างเรา ก็ต้องมีคนมารอล้อม ไม่ใช่มาต้อนรับอะไรหรอก นอกจากจะชวนเราขึ้นรถ คือก่อนมาถึงก็ได้เตรียมหาวิธีเข้าเมืองไว้บ้างแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมาโดนกับตัว ด้วยความเร่งรีบ เวลามันเกินจากแพลนไปเยอะแล้ว และกลัวรถติดตอนเข้าเมือง อาจจะไม่ทันไปสถานีรถไฟ เลยตัดสินใจขึ้นรถรับจ้างไป คนขับบอกราคาตามมิเตอร์ แต่เราไม่รู้ว่ามิเตอร์มันคิดยังไง นั่งไปแปบเดียวใช้เวลาเพียง 20 นาทีถึง ปรากฎว่าโดนไป 148 GEL (บ้าไปแล้วคิดเป็นเงินไทย 1,480 บาท) ตอนนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว คิดไรไม่ออก นอกจากจ่ายๆ ไป แล้วก็เข้าที่พัก **ขอเตือนเลยว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินโดยไม่จำเป็น ก็นั่งรถประจำทาง หรือ Taxi ที่จอดรอข้างนอกสนามบินดีกว่า**
เราได้จองที่พักใน Tbilisi ไว้ 4 คืน แบบไม่ได้หรูหรามาก อยู่ใกล้ๆ กับ Metro สถานี Avlabari เพราะใช้นอนแค่ 1 คืน นอกนั้นเอาไว้เก็บของ หลังจากเก็บสัมภาระแบ่งใส่กระเป๋าใบเล็กเตรียมออกเดินทางต่อไปเพื่อยังไปเมือง Mestia ด้วยรถไฟนอน แม้วันนี้เรามาถึงจุดหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ปลายทางซะทีเดียว นี่แค่เริ่มต้น... ไหนๆ ก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ยังพอมีเวลาให้พักหายใจหายคอ ขอแวะไปเช็กอินชมแสงสียามค่ำคืนที่ ย่าน Liberty Square อยู่ไม่ไกลจากสถานี Station Square ซะหน่อย
สถานีรถไฟ Tbilisi อยู่ใกล้ๆ กับ Metro สถานี Station Square รถออกเที่ยวสุดท้าย 21:45 น.ไป Zugdidi (รถไฟเที่ยวดึกอาจไม่มีให้บริการในบางช่วง เช็กตารางได้จาก App TKT.GE)
รถไฟ Georgia Railway สามารถจองตั๋วผ่านเว็บไซต์ และ Application TKT.GE ได้ ไม่ต้องปริ้นท์ใส่กระดาษ สามารถโชว์ QR Code บนมือถือได้เลย แนะนำให้จองแบบ First Class ราคา 35 GEL/คน ตู้นอนค่อนข้างกว้างเป็นส่วนตัวนอนได้ 2 คน มีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จแบต
รถไฟมาถึงสถานีปลายทาง Zugdidi ช่วงเช้า ต้องนั่งรถต่อไป Mestia อีกประมาณ 4 ชม. ถ้าโชคดีมีรถตู้ หรือมินิบัส รอรับคนอยู่ก็จะช่วยประหยัด จ่ายแค่คนละ 20 GEL แต่ถ้าไม่มีก็ต้องเหมารถ Taxi ต่อราคากันเอง
ตลอดทางไป Mestia ภูมิประเทศส่วนมากเป็นภูเขา เหว หน้าผา และทางที่คดเคี้ยว เมื่อเข้าใกล้ Mestia แสงแดดเริ่มเผยโฉมให้เห็นบรรยากาศเมืองที่เหมือนหลุดเข้าไปในดินแดนเทพนิยาย ท้องฟ้า ภูเขา และแสงประกายของเกร็ดหิมะที่ปกคลุมทั้งเมือง ...นี่มันสวรรค์ชัดๆ
Mestia อยู่บนเทือกเขาคอเคซัส เป็นเมืองทางตอนเหนือของจอร์เจีย ในเขตการปกครอง Upper Svaneti จุดเด่นของหมู่บ้านเต็มไปด้วยปล่องไฟ และหอคอยที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง
ภายในบริเวณหมู่บ้าน สามารถเดินเที่ยวได้แบบสบายๆ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนที่เดินผ่านไปมายิ้มแย้ม มีฝูงม้า วัว และน้องหมาขนปุย ที่คอยออกมาต้อนรับ ใครมาอย่าลืมซื้อขนมปังติดไม้ติดมือไว้ด้วย น้องๆ ชอบกิน
ถึงที่นี่จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมาก นอกจากการมาเล่นสกี ก็มาเดินถ่ายรูป ชมธรรมชาติ สูดอากาศเย็นๆ แค่นี้ก็ฟินแล้ว
ปล่อยเวลา Enjoy สักพักสำหรับที่นี่ ให้ร่างกายได้พักชาร์จแบต เตรียมเพื่อลุยในวันต่อไป จะเจออะไรที่เหนือความคาดหมายอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้...
เราพักที่ Mestia 1 คืน ระหว่างนั้นก็พยายามหารถไป Ushguli ในวันพุ่งนี้ เค้าบอกว่าถ้าตอนเช้ามีนักท่องเที่ยวมาก็เหมาแล้วหารค่ารถไปด้วยกัน จนสุดท้ายเราตื่นมารอตั้งแต่ 7 โมง จนถึง 8 โมงครึ่ง ก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาเพิ่ม เลยต้องเหมาไปแบบส่วนตัว ในราคาคันละ 180 GEL (ไป-กลับ พร้อมคนขับ) ถามว่าแพงมั้ย? ก็แพงนะ แต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาตามแพลนที่วางไว้ก็ต้องยอม
พอเริ่มออกเดินทาง แทบนั่งไม่ติดเบาะ เพราะเส้นทางมันสวยจนตื่นตาตื่นใจมาก หิมะปกคลุมตลอดสองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่าสน และภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า
แสงอาทิตย์สีทองยามเช้า กำลังทอดยาวไปตามแนวเทือกเขาคอเคซัส
จาก Mestia ลัดเลาะตามภูเขาเพื่อไปยัง Ushguli หมู่บ้านมรดกโลกที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน แม้ระยะทางเพียง 47 กม. แต่ใช้เวลาถึง 2 ชม. ถ้าคนไม่ชำนาญทางจริงๆ เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และขึ้นชื่อว่าคนที่นี่เค้าขับรถแบบ Fast & Furious กันมากๆ แต่ก็คุ้มกับเงินที่เสียไปเพื่อแลกกับความสวยงามรอเราอยู่ แต่ถ้าหากใครมาในฤดูอื่น เส้นทางนี้ก็สามารถขับรถเที่ยวเองได้ไม่ยาก
Ushguli หนึ่งชุมชนหมู่บ้านที่อยู่สูงสุดในยุโรป กับทัศนียภาพสุดตระการตา มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ ถ้าใครชอบความเงียบสงบ และวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ขอแนะนำเลยว่าที่นี่เป็น Destination ที่ต้องลองมาเยือนสักครั้ง ในการเที่ยวจอร์เจีย
ดินแดนนี้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาคอเคซัส ถูกหิมะปกคลุมเกือบ 6 เดือนในช่วงหน้าหนาว และยังคงสภาพความเป็นเอกลักษณ์ของมรดกโลก ที่ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง เว้นแต่ฤดูกาลที่สร้างความงดงามที่ต่างกันออกไป
หลังจากที่คนขับรถของเรามาส่งถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็ปล่อยเราเดินเที่ยวเล่นตามสบาย ระหว่างที่เดินเที่ยวรอบๆ หมู่บ้าน แทบไม่เจอผู้คนออกมาเลย เห็นน้อยมาก นอกจากเจอแต่เจ้าขนปุยที่นอนอาบแดดอยู่บนกองหิมะ
ภาพบรรยากาศแบบนี้ มันเป็นอะไรที่สวยงามติดตามาก ดีใจที่ตัวเองพยายามมาถึงจนได้ คุ้มค่าตลอดการเดินทางแม้จะมีเวลาไม่มาก แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งในมุมมองช่วงเวลาอื่นๆ ดูบ้าง หรือถ้ามีเวลาก็อยากจะลองนอนค้างที่นี่สักคืน
หลังจากจบภารกิจที่ Ushguli แล้ว ก็ถึงเวลากลับสู่เมืองหลวง Tbilisi ในเส้นทางเดิมเหมือนตอนขามา คนขับรถของเราบริหารเวลาดีมาก พามาส่งที่ท่ารถ Mestia ทันรถตู้รอบสุดท้าย เพื่อที่จะไปสถานีรถไฟ Zugdidi พอได้ตั๋วอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่รอเวลา...
มาถึงสถานีรถไฟ Tbilisi ในตอนเช้า ไม่รอช้า รีบกลับเข้าที่พักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเตรียมมุ่งหน้าออกเดินทางไป Kazbegi เริ่มต้นที่ท่ารถใกล้กับ Metro สถานี Didube บรรยากาศคล้ายๆ อนุสาวรีย์บ้านเรา มีรถตู้ไปเมืองต่างๆ
ท่ามกลางความวุ่นวายของคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว รวมถึงเหล่าบรรดาคนขับรถรับจ้าง ต่างพากันเข้ามาถามว่าไปโน้นมั้ย...ไปนั่นมั้ย... เลยพอเราเอ่ยคำว่า Kazbegi เค้าก็พาเราไปนั่งรอในรถ ครบ 6 คน รถถึงจะออก จริงๆ จะไปรถตู้สาธารณะก็ได้ ราคาถูกแต่ช้า และไม่จอดแวะให้เราลงไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ เลยต้องหารถเหมาไปแทน แล้วหารกันคนละ 20 GEL
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. คนขับจะแวะจอดให้ 3 จุดเพื่อลงไปถ่ายรูปได้จุดละประมาณ 30 นาที คือ อ่างเก็บน้ำชินวารี, Ananuri Fortress และ Georgia-Russia Friendship Monument ก่อนเข้าสู่ Kazbegi
Zhinvali อ่างเก็บน้ำที่ทำให้ชาวเมือง Tbilisi มีน้ำไว้ดื่มใช้ และเป็นจุดชมวิวของนักท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพทิวทัศน์ของภูเขาล้อมรอบ
Ananuri Fortress ป้อมปราการเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ถูกใช้เป็นที่หลบภัยเวลาศึกสงคราม อยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำชินวารี
Georgia-Russia Friendship Monument อนุสรณ์สถานหินโค้งขนาดใหญ่บนเนินเขา ที่มีภาพวาดสุดตระการตาบนฝาผนังหิน และจุดชมวิวในแบบพาโนรามา
เมื่อมาถึง Kazbegi จะต้องเปลี่ยนเป็นรถ 4W ขึ้นไป Gergeti Trinity Church (เหมาไปกลับ 50 GEL) อีกประมาณ 30 นาที (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) ถึงจะมีรถขึ้นไป แต่ในหน้าหนาวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะถ้าวันไหนหิมะตกหนักอาจทำให้ทางปิด รถขึ้นไปไม่ได้ ถ้าเดินต้องใช้เวลาเกือบ 2-3 ชม. (ควรเช็กสภาพอากาศก่อนเดินทาง)
Gergeti Trinity Church แลนด์มาร์คแห่งจอร์เจีย โบสถ์ที่โดดเด่นสะดุดตาบนยอดเขาความสูง 2,100 เมตร ของเทือกเขา Mount Kazbek หนึ่งในศาสนสถานที่อลังการงานสร้าง และมีวิวทิวทัศน์อันงดงามอีกมุมหนึ่งในโลก เมื่อขึ้นไปยืนอยู่ในจุดนั้นแล้วตัวเราดูเล็กลงไปเลย เหมือนอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา และมองไปรอบๆ ก็เหมือนภาพวาดขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า
ขากลับเข้าเมือง เราใช้วิธีนั่งรถตู้สาธารณะ เพราะไม่ต้องแวะไหนแล้ว นั่งยาวมาถึง Tbilisi ช่วงค่ำๆ ยังพอมีเวลาเดินเล่นนิดหน่อย ถ้าไม่รู้จะไปไหนลองไปเดินแถวย่าน Rustaveli Avenue แหล่งช้อปปิ้งใน Tbilisi ตลอดถนนเส้นนี้จะมีร้านค้ามากมาย รวมทั้งแบรนด์เนม บางแบรนด์อาจจะไม่เคยได้ยิน แต่บังเอิญไปเจอ ZARA ที่ถูกกว่าไทยเกือบครึ่ง เดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึง Liberty Square มีห้างใหญ่ที่ชื่อว่า Galleria
ก่อนเข้าที่พัก ขอแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตซะหน่อย ได้ข่าวว่า เบียร์ ไวน์ ที่นี่ราคาถูกมาก... ตกขวดละไม่ถึง 30 บาท ลองดูราคากันเอาเอง แต่อย่าถามว่าอันไหนอร่อยนะ เพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบกินเบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แค่ซื้อมาลองชิมนิดๆหน่อยๆ...:)
และก็มาถึงวันสุดท้าย เหลืออีกครึ่งวัน ก็น่าจะพอเที่ยวในเมือง Tbilisi ได้ไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกัน พอเดินเที่ยวได้ จะมีที่ต้องนั่งรถไปก็คือ The Chronicle of Georgia ที่ออกไปไกลนิดนึง นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Grmagele แล้วต่อรถประจำทางสาย 60 ลงที่ป้าย Military School เดินต่อขึ้นเขาไปอีกหน่อย
The Chronicle of Georgia อนุสรณ์ขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเด่นเห็นมาแต่ไกล ใกล้ๆกับ Tbilisi Sea มีการจารึกแกะสลักบนเสาเหล็กเล่าถึงประวัติศาสตร์จอร์เจีย 3,000 ปี บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา แต่อย่าเพิ่งมองข้ามที่นี่ไป
ปิดท้ายกลับมาเดินเที่ยว City Walk ย่าน Tbilisi Old Town เริ่มจากนั่งกระเช้าขึ้นไปยัง Narikala Fortress ชมวิวมุมสูงของเมืองทบิลิซี
จาก Mother of Georgia ที่อยู่บน Narikala Fortress แล้วเดินลงมายังเมืองเก่า ไปยังโรงอาบน้ำ (Sulphur Bath) ข้ามสะพานสันติภาพ (The Bridge of Peace) กลับมาเพื่อไปโบสถ์ Metekhi Cathedral
เที่ยวจนวินาทีสุดท้ายก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับ ถ้ามีเวลาทั้งวัน ก็คงจะได้เก็บได้หลายที่กว่านี้ ถือซะว่าทริปนี้เป็นการเรียกน้ำย่อยเซอร์เวย์เส้นทางก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้าจะให้เลือกว่าชอบอะไรของจอร์เจียมากที่สุด ก็ยังเป็นธรรมชาติมากกว่า
Comments