นอกจาก มอสโก หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อีกฟากนึงของ "รัสเซีย" ยังมีเมืองชื่อว่า Irkutsk (อีร์คุตส์) ประตูสู่ "ดวงตาสีฟ้าแห่งไซบีเรีย" ที่จะพาเราไป (Lake Baikal) ทะเลสาบไบคาล
เมื่อธรรมชาติร่ายมนตร์ เสกน้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง เกิดความงดงามอันเกิดจากลวดลายรอยแตกร้าวของพื้นน้ำแข็งขนาดมหึมา นับว่าเป็นศิลปะทางธรรมชาติในแต่ละปีจะมีโอกาสได้สัมผัสเพียง 1 ช่วงเวลาเท่านั้น
ทำความรู้จักกับ Lake Baikal กันสักนิด
ทะเลสาบไบคาล ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความเก่าแก่ และมีความลึกที่สุดในโลก จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกกว่า 1,640 เมตร ทะเลสาบไบคาลเกิดจากการที่น้ำเอ่อล้นเข้ามาจนเต็มรอยเปลือกโลกที่แตกเมื่อ 25 ล้านปีที่แล้ว ทะเลสาบมีความยาวประมาณ 650 กิโลเมตร กว้างโดยเฉลี่ย 50 กิโลเมตร มีพื้นที่กว่า 3 หมื่นตารางกิโลเมตร มีความหลากหลายทางธรรมชาติ
ทะเลสาบไบคาล มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการยุคต่างๆ ของโลก เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางธรณีวิทยา หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา รวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจด้วย จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
การเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบไบคาล (Lake Baikal) จุดหมายแรกของเราคือบินไปลงที่เมือง IRKUTSK ประเทศรัสเซีย ปัจจุบันมีสายการบิน S7 ซึ่งเป็นหนึ่งในสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และเป็นสายการบินเดียว ที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไป IRKUTSK ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชม.
ทริปนี้ เดินทางระหว่างวันที่ 8-13 มีนาคม 2019
ก่อนเดินทางเราได้ติดต่อไกด์ท้องถิ่นของไบคาล เพื่อคอยอำนวยความสะดวกในการพาเราเดินทางในทริปนี้ (ซึ่งราคาสามารถคุยตกลงกันได้ เพราะเค้าจะมีเป็นแพ็คเกจให้เลือกคล้ายๆทัวร์ รวมค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก แต่ประหยัดกว่าซื้อทัวร์จากไทยเยอะเลย)
สนามบิน IRKUTSK เป็นสนามบินเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ตอนลงเครื่องจะต้องเดินท้าลมหนาวกลางรันเวย์กันซะหน่อย เมื่อก้าวผ่านตม.สนามบินแล้ว ไกด์ท้องถิ่นของเราจะมารอต้อนรับ และพาเราไปที่โรงแรมในเมือง IRKUTSK ซึ่งเราจะให้เป็นที่พักในคืนแรก และคืนสุดท้ายก่อนกลับ
เช้าวันต่อมาพร้อมออกเดินทาง พร้อมไกด์ส่วนตัวของเรา มุ่งหน้าจากเมือง IRKUTSK ไปทะเลสาบไบคาล ระยะทางประมาณ 300 กม. ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ตลอดเส้นทางจะได้เห็นเนินเขาสลับกับทุ่งหญ้า หิมะประปราย และฝูงสัตว์น้อยใหญ่ ให้เราได้เพลิดเพลินระหว่างทาง อยากแวะถ่ายรูปตรงไหนบอกไกด์ได้เลย
ก่อนที่เราจะได้สัมผัสกับทะเลสาบใบคาล ที่อยู่ตรงหน้า ยานพาหนะของเราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถทหารรัสเซีย เพื่อใช้เดินทางข้ามทะเลสาบไบคาล ที่กลายเป็นน้ำแข็ง ไปยังเกาะ Olkhon
เมื่อล้อหมุนลงบนพื้นน้ำแข็ง ความหนาวเย็นก็เริ่มมาปะทะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความหนาวแค่ไหน ยังไงก็สู้ความสวยงามที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้ เพราะเหมือนภาพวาดขนาดมหึมา ภูเขาตั้งตระหง่าน ท้องฟ้าสีคราม สะท้อนบนน้ำแข็งราวแผ่นกระจกใสที่มีลวดลายสวยงาม
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึงเกาะ Olkhon ที่อยู่บริเวณกลางระหว่างทะเลสาบไบคาลเกาะเหนือ และเกาะใต้ และเป็นที่พักของเราระหว่างอยู่ที่เกาะนี้ 2 คืน ก่อนพระอาทิตย์ตกช่วงเย็น ต้องไม่พลาดไปเก็บภาพสวยๆ ประเดิมทริปนี้
ที่พักบนเกาะ Olkhon ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเกสต์เฮ้าส์ เพราะเกาะแห่งนี้เป็นเกาะเดียวที่มีขนาดใหญ่และมีชาวบ้านอาศัยอยู่ และมีอาชีพประมงอยู่บริเวณทะเลสาบไบคาล เมื่อถึงฤดูหนาวทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งบรรยากาศจะค่อนข้างเงียบ มีแต่นักท่องเที่ยว
แมวที่นี่ตัวใหญ่ขนหนานุ่มน่าฟัดมาก สภาพห้องพักโดยรวมถือว่าโอเค ถึงจะเป็นเกสต์เฮ้าส์ ก็มีให้เลือกแบบห้องส่วนตัวได้ด้วย ส่วนอาหารก็เป็นเมนูง่ายๆ
เช้าวันต่อมา เราจะออกไปเที่ยวกลางทะเลสาบ และตอนเหนือของเกาะ Olkhon ซึ่งเมื่อได้ก้าวเท้าเหยียบลงพื้นน้ำแข็งกลางทะเลสาบ ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลงไปเลย
ช่วงแรกก็ยังกล้างๆกลัวๆ ด้วยความที่พื้นน้ำแข็งค่อนข้างลื่น แนะนำว่าควรเตรียมรองเท้าที่ค่อนข้างมิดชิดและเกาะพื้นผิวค่อนข้างดี ส่วนพื้นน้ำแข็งนั้นมีความหนาว 1-2 เมตร ไม่ต้องกลัวว่าจะตกลงไปง่ายๆ
ท่ามกลางความเย็นยะเยือก ก็ต้องยอมทนหนาวลงไปเล่นน้ำแข็ง และเก็บภาพสวยๆ ของพื้นน้ำแข็งสีฟ้าอมเขียว ส่วนใครอยากเล่นไอซ์สเก็ต หรือปั่นจักรยาน ก็เช่าอุปกรณ์มาเล่นได้ด้วยนะ
กองน้ำแข็งที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆจากการแข็งตัวของคลื่น และเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจากพายุหิมะ
เสียดายที่เราอดเข้าไปถ่ายภาพในถ้ำน้ำแข็งได้ เนื่องด้วยความปลอดภัย ขอสนุกบนพื้นน้ำแข็งกันพอหอมปากหอมคอแล้วกัน จากนั้นก็กลับขึ้นฝั่งขึ้นไปทางทิศเหนือ เพื่อเข้าเขตอุทยาน เส้นทางการขับรถต้องใช้ความชำนาญ มีขึ้นเนิน ตกหลุมบ้าง ลัดเลาะตามสภาพภูมิประเทศ
ถึงจุดเหนือสุดจะเห็นวิวทะเลสาบในแบบพาโนรามา กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ความสวยงามที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมา มองเห็นนักท่องเที่ยวที่มาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นไอซ์สเก็ต หรือขบวนคาราวาน ที่เดินทางข้ามทะเลสาบกันแบบข้ามวันข้ามคืน หรือนานนับเดือนเลยก็มี
ถ้าจะให้บอกว่า การมาเที่ยวทะเลสาบไบคาลในแต่ละปี จะได้เห็นความสวยงามที่ไม่ซ้ำกันเลย เพราะลวดลายพื้นน้ำแข็ง มันไม่สามารถควบคุมได้ จึงเกิดเป็นงานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวมันเอง
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ระหว่างทางเราจะพักกินข้าว เข้าห้องน้ำกันที่ไหน? เรื่องอาหารเราก็ตั้งแคมป์ปรุงและกินกันกลางป่าบนเขาเลย ส่วนห้องน้ำก็ใช้ห้องน้ำธรรมชาติ ใครไม่สะดวกก็อดทนไว้กลับมาที่พักแล้วกัน เพราะแต่ละวันจะใช้เวลาเที่ยวไม่นานมาก ต้องรีบกลับก่อนฟ้ามืด เนื่องจากสภาพอากาศและภูมิประเทศอาจจะส่งผลอันตรายต่อการเดินทาง
ส่วนเวลาที่เหลือวันนี้ ก็กลับมาพักผ่อน คลายความหนาว เก็บแรงไว้ลุยในวันต่อไป สำหรับการไปเที่ยวทางตอนใต้ของเกาะดูบ้าง ในความรู้สึกวิวอาจจะสวยอลังการเหมือนเกาะเหนือ แต่จุดเด่นอยู่ตรงที่พื้นน้ำแข็งที่เป็นฟองอากาศหรือ Bubble Ice เหมาะกับการมานั่งตกปลากลางน้ำแข็ง และชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากๆ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของบริเวณเกาะใต้ จะเป็นลักษณะภูเขาหิน ที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ขึ้น
ระหว่างทางเราจะเห็นนักท่องเที่ยวและชาวบ้านมานั่งตกปลากันแบบชิลๆ แต่พอเราลองตกบ้าง มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้แฮะ..
มาเจอท่าเรือ ที่ทุกสิ่งเหมือนถูกสตาฟเอาไว้ แต่ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวเค้าบอกว่าที่นี่จะคึกครื้นมาก เพราะผู้คนจะเดินทางข้ามทะเลสาบด้วยเรือเป็นหลัก
ปิดท้ายด้วยการไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกลางทะเลสาบไบคาล พร้อมกับจิบชาร้อนๆ มองแสงสีทองค่อยๆ ลับขอบฟ้า
ความทรงจำที่งดงามในช่วงเวลาที่ไร้ขอบเขต ยามแสงอาทิตย์อัสดงสะท้อนเหนือกระจกบานใหญ่ที่สุดในโลก แห่งท้องทะเลสาบไบคาล
บอกอำลา ผืนน้ำ ภูเขา และท้องฟ้าแห่งนี้ ในวันสุดท้ายของทริปทะเลสาบไบคาล ก่อนเดินทางกลับสู่เมือง IRKUTSK
ปิดท้ายด้วยบรรยากาศของเมือง IRKUTSK เมืองที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ ทำให้เราได้เห็นถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างจากที่เคยได้มาเที่ยวรัสเซียในเมืองอื่นๆ ถึงได้ชื่อว่า "ปารีสแห่งไซบีเรีย" และเป็นเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ที่เชื่อมต่อมาถึงเมืองนี้ครั้งแรกในปี 1898
ทริปนี้จะขาดไม่ได้ "Jack" ไกด์ที่ดูแลเราเป็นอย่างดี ทำให้เหมือนมาเที่ยวเอง แต่ได้เพื่อนใหม่ และความประทับใจกลับไปแบบไม่รู้ลืม
VIDEO
Comments