หลังจากไม่ได้ออกไปต่างประเทศถึงสองปี พอมีโอกาสให้กระตุกต่อมเที่ยวให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง กับ Destination ที่ต้องบอกว่าเป็นทริปท้าท้ายความร้อนแรงแห่งแสงแดดที่สุดในชีวิต กับการไปยังดินแดนตะวันออกกลาง ที่ ประเทศโอมาน
โอมาน หรือชื่อเต็มๆ รัฐสุลต่านโอมาน (سلطنة عُمان) Sultanate of Oman หนึ่งในดินแดนอาหรับของภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้บนคาบสมุทรอาหรับ ล้อมรอบด้วยประเทศเยเมน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีกรุงมัสกัต (Muscat) เป็นเมืองหลวง
ถ้านึกถึงที่เที่ยวโอมาน ภาพที่ลอยมาก็คงเป็นทะเลทราย ภูเขา และความร้อนของแสงแดดที่แทบจะกลืนน้ำลายตั้งแต่ยังไม่เริ่มออกเดินทาง แต่ก็เอาวะ...ไม่ได้เที่ยวนาน ไปโอมาน ก็คงเป็นอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเจอกับสภาพภูมิประเทศแบบนี้ แต่โชคดีเวลาที่ไปเป็นช่วงหน้าหนาว (หนาวของที่นั่น!!) ยังมีลมเย็นให้คลายร้อนบ้างในช่วงตอนกลางคืน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 18-40 องศา ถ้าช่วงหน้าร้อนก็ทะลุไปถึง 45 องศา
และใครจะไปรู้ว่าในโอมาน ก็ยังมีความสดชื่นของธรรมชาติที่แอบซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ต้นไม้ ให้ได้พอคลายร้อนกันอยู่บ้าง...
เตรียมตัวออกเดินทาง...
ทริปนี้เราเดินทางช่วงเดินตุลาคม ใช้เวลา 7 วัน (รวมนั่งเครื่อง) เป็นการเที่ยวแบบ Road Trip + Camping
บินไปโอมาน ใช้เวลาประมาณ 6.30 ชม. ถ้าอยากบินตรงก็แนะนำ Oman Air หรือใครสะดวกต่อเครื่องก็มีอีกหลายสายการบิน
ตอนช่วงที่เดินทาง โอมานเปิดให้นักท่องเที่ยวพาสปอร์ตไทย ฟรีวีซ่า อยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน แต่ปกติต้องทำ Visa On Arrival หรือทำผ่านออนไลน์ไปก่อนได้ (เงื่อนไขวีซ่า แนะนำให้คอยอัพเดตเรื่อยๆ)
การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศโอมาน ไม่มีขนส่งสาธารณะ อย่างรถเมล์ หรือรถไฟ มีแต่รถ Taxi แบบเหมา หรือเช่ารถขับเอง (ก็น้ำมันเค้าถูก)
ถ้ามาครั้งแรกควรหาไกด์ท้องถิ่นที่ดูน่าเชื่อถือ เพราะเค้าจะช่วยให้เราผ่านด่านตรวจระหว่างทางง่ายขึ้น และรู้ว่าควรไปเส้นทางไหน
โอมานใช้สกุลเงิน OMR (Omani Rial) แลกจากไทยไปได้ แต่ร้านมีให้แลกน้อย (1 OMR ≈ 100 บาท) เอาเงิน USD และบัตรเครดิต ติดเผื่อไปด้วย
SIM Card สำหรับใช้อินเตอร์เน็ต ถ้าใช้ Local SIM จะเล่น LINE ไม่ได้ ต้องเปิด VPN หรือถ้าขี้เกียจ ก็ซื้อซิม SIM2Fly ของ AIS เปิด Roaming จากไทยในราคา 399 ได้ถึง 10GB/10 วัน สัญญาณอยู่ในระดับดี ยกเว้นบางพื้นที่ อย่างเช่นกลางทะเลทราย หรือหุบเขา
เอกสารอื่นๆ ที่ควรมีติดตัวไปด้วย ตั๋วเดินทางไปและกลับ พร้อม International Certificate of COVID-19 Vaccination, เอกสารยืนยันการจองโรงแรม ระดับ 4 ดาวขึ้นไป, เอกสารรับรองการทำงาน, แพลนการท่องเที่ยว หรือ Email จากไกด์ที่คุยไว้, ประกันการเดินทาง
เวลาที่โอมาน ช้ากว่าไทย 3 ชม. (GMT+4)
โดยเส้นทางการเที่ยวของเราจะไปที่ไหนบ้าง ตามไปพร้อมกันเลยครับ...
Day 1 พร้อมแล้ว Let's Go to Oman
การมาประเทศโอมาน ทริปนี้ เราเลือกบิน indiGo เปลี่ยนเครื่องที่อินเดีย เพราะช่วงไปที่เป็นช่วงบอลโลก ค่าตั๋วเส้นทางแถบนั้นราคาแรงมาก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่อาจจะเจอกับความวุ่นวายของสามบินอินเดียนิดหน่อย....
ผ่านไป 4 ชม.ครึ่ง ถึงสนามบินมุมไบ ประเทศอินเดีย เกือบต่อเครื่องไม่ทัน เพราะมัวแต่ส่ายหัวกันอยู่นั่นแหล่ะ ไม่คิดว่าที่นี่ต้องใช้เวลา และขั้นตอนมากขนาดนี้ รู้งี้บินตรงเหอะ...
ออกจากมุมไบ อีกประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ก็ Landing สู่กรุงมัสกัต เป็นที่เรียบร้อย รอคิว ตม.ประมาณครึ่ง ชม. ใช้เวลาตรวจ Passport ไม่นาน ถามแค่มาจากไหน มากี่วัน ก็สแตมป์ผ่านฉลุย
Welcome To Oman
ออกมาจากสนามบิน ได้สัมผัสอากาศด้านนอกประมาณ 20 องศา ยังรู้สึกชิลๆ แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้กลางวันจะเป็นยังไง
หลังได้นัดเจอกับไกด์แล้ว ก็พากันไปที่โรงแรม Centara Muscat Hotel Oman อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน จะได้มีเวลาพักเก็บแรงให้เต็มที่ เพราะวันที่เหลือยังไม่รู้เลยว่าจะได้นอนที่ไหนบ้าง
Day 2 Muscat - Wadi Arbaeen - Bimmah Sinkhole- Nizwa
ตื่นเช้าออกมารับแสงแดดซะหน่อย เพิ่งจะ 9 โมงครึ่ง โอ้ยย แม่เจ้าโว้ยยย ร้อนชิบหายยยย แทบไหม้!!
สไตล์บ้านเมืองของที่นี่ จะเน้นโทนสีขาว เพราะจะช่วยลดการดูดซับความร้อนจากแสงแดดได้ดีกว่า อย่างเวลาเราอยู่กลางแจ้งร้อนจัดๆ พอเข้าที่ร่มจะรู้สึกเย็นสบาย
รถพร้อม เสบียงพร้อม ไกด์พร้อม เราจะเที่ยวกินนอนไปตลอดทริปนี้ ไกด์คนนี้มีอะไรให้คุยกันสนุก เมาท์มอยกันตลอดทาง
ประเดิมข้าวเช้ามื้อแรกที่โอมานที่ร้าน Dukanah Cafe ก็เลยลองใช้มือจกกินแบบสไตล์อาหรับ
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อยาวๆ ระยะทาง 125 กม. มุ่งหน้าออกไปนอกเมือง ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 45 นาที
ข้อดีของการจ้างไกด์ท้องถิ่น เค้าจะรู้และชำนาญเส้นทางมากกว่า ระหว่างทางอยากแวะถ่ายรูปตรงไหนก็ได้
แต่ถ้าใครอยากขับรถเที่ยวเองก็ไม่ยาก น้ำมันก็ถูก ถนนหนทางก็ดี แต่ก็จะมีบางช่วงต้องผ่านด่านตรวจ หรือเจอสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา หรือทะเลทราย มีคนคอยขับรถให้ก็สบายใจละ
กว่าจะผ่านเส้นทางลูกรังขึ้นๆลงๆเนินเขา ตับใตไส้พุงแทบกองรวมกัน ที่แรกที่มาถึงก็คือ Wadi Arbaeen (وادي العربيين)
Wadi แปลว่า บริเวณลำน้ำหรือลำธาร หรือบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ในทะเลทราย ที่นี่เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโอมาน มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยต้นปาล์ม อินทผลัม และมีแหล่งน้ำจืด น้ำตก โขดหินน้อยใหญ่ สามารถลงเล่นน้ำคลายร้อนได้ (แต่ยังไม่อยากเปียก ขอดูวิวสวยๆไปก่อนดีกว่า)
จากนั้นไปต่อกันที่ Bimmah Sinkhole (هوية نجم) ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล ขับรถไปประมาณ 45 นาที ระยะทาง 21 กม. เป็นหนึ่งในสถานที่น่ามหัศจรรย์ของโอมาน เพราะมีลักษณะเป็นหลุมน้ำสีเขียวมรกตใสขนาดใหญ่มีความกว้างประมาณ 50 x 70 เมตร ลึก 20 เมตร และมีน้ำทะเลไหลซึมผ่านเข้ามา กลายเป็นโอเอซิสที่ให้คนมาเล่นน้ำพักผ่อนกัน ลงไปเล่นน้ำให้ปลาตัวน้อยๆ คอยตอดเล่นเพลินดี
เห็นบันไดทางลงแล้ว ไม่อยากจะนึกถึงตอนกลับมาขึ้นมา...
แหล่งน้ำที่นี่เป็นน้ำเค็ม ถ้าใครจะลงเล่นแล้วไม่มีห้องน้ำให้อาบนะ ถ้าอยากจะล้างตัวมีแต่ห้องส้วมกับสายฉีดก้น ก็เลยยอมปล่อยให้ตัวแห้งไปแบบนั้นแหล่ะ
ระหว่างทางกลับพระอาทิตย์กำลังจะตก ก็เลยได้แวะนั่งปิคนิคกันริมหน้าผาดูวิวทะเล
ทีแรกมีแพลนจะไป Wadi กันอีกที่ และตั้งแคมป์นอนกันคืนนี้ แต่เวลาไม่ทัน ก็เลยต้องมุ่งหน้าไปเมือง Nizwa (نِزْوَى) ต่อเลย อีกประมาณ 4 ชม. ด้วยระยะทาง 280 กม. ถึงแล้วก็รีบหาที่พักเพื่ออาบน้ำล้างตัว
Naaman Bin Al Munther Villa เกสต์เฮ้าส์ที่เราพักคืนนี้ ข้างในตกแต่งได้อลังการมาก
คืนนี้ยังไม่จบ หลังจากอาบน้ำเสร็จ สบายตัวละเริ่มหิว เลยชวนออกไปหา Seafood กินกันที่ร้าน Angry Crab กันต่อ
เมนูคล้ายๆ กุ้งถัง เสิร์ฟพร้อมข้าวแบบจุกๆ กินกันได้ 3-4 คน หลับสบายละคืนนี้...
Day 3 Nizwa - Jabal Shams
ออกมาเดินเล่นรับแสงยามเช้าแถวตลาด Nizwa Souq (سوق نزوى المركزي) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก และช่วงเช้านั้นบรรยากาศกำลังคึกครื้น
Nizwa (نِزْوَى) อดีตเมืองหลวงเก่าของโอมาน อยู่ห่างจากเมืองมัสกัต ประมาณ 150 กม. แลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ก็คือป้อมปราการ Nizwa Fort (قلعة نزوى) ที่อยู่ติดกับตลาด Nizwa Souq
ที่ตลาด Nizwa มีของขายเยอะมาก โดยเค้าจะแบ่งเป็นโซนๆ อย่างเช่นโซนของเก่า ผักผลไม้ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ และอีกมากมาย
และโชคดี วันที่เราได้มาเป็นวันศุกร์ ที่ตลาด Nizwa จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะชาวบ้านจะเอาแพะ แกะ วัว มาขายแลกเปลี่ยนกัน เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของที่นี่เลยก็ว่าได้
Nizwa Fort (قلعة نزوى) เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ อนุสรณ์สถานแห่งชาติของโอมาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ภายในมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาอย่างยาวนาน เสียค่าเข้าคนละ 5 OMR
ข้างบนหอคอยขนาดมหึมา มีแท่นปืนใหญ่อีกมากมายเอาไว้ป้องกันข้าศึก เมื่อขึ้นไปด้านบนจะได้เห็นวิวเมือง Nizwa แบบ 360 องศา
บริเวณรอบๆ Nizwa Fort มีหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมชม มีคาเฟ่ นั่งจิบกาแฟชิลๆ และถ้าใครไม่อยากเดิน เค้าก็มีรถพร้อมไกด์บริการด้วย
ออกจาก Nizwa เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง Al Hamra อีก 2 ชม.ระยะทาง 90 กม. เพื่อขึ้นไปบนภูเขาอันโด่งดังของที่นี่ Jabal Shams
ระหว่างทางที่ออกจากนอกเมืองไปตามแนวเขา เรายังได้เห็นวิถีชีวิตของการทำเกษตรกรรมของขาวโอมาน
ระหว่างทางถ้าหิว ก็ลองแวะที่ร้าน Reem Al Yamen Restaurants เป็นร้านอาหารที่หลายๆ คนนิยมแวะพักระหว่างทางมา Jabal Shams
อิ่มแล้วก็เดินทางต่อ และจะค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
และแล้วเราก็มาถึง Jabal Shams (جَبَل شَمْس) หรืออีกชื่อคือ Mountain of Sun ภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาฮาจาร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโอมาน ที่มีลักษณะเหมือนแกรนด์แคนยอน
ขึ้นมาถึงจุดชมวิว บนความสูงกว่า 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทันพระอาทิตย์ตกพอดี เลยได้เห็นบรรยากาศแสงสีทองตกกระทบหน้าผา
ถ้าใครขึ้นมาแล้วอยากกางเต๊นท์นอนก็ได้ หรือถ้าอยากหาบ้านพัก ก็ขับรถต่อขึ้นไปอีกนิด จะเจอหมู่บ้านเล็กๆ และมีที่พักหลายหลัง เราเลือกพักที่ Balcony Walk Guest House บรรยากาศดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยล่ะ เหมาะกับการมาเป็นครอบครัว มี 2 ห้องพัก พร้อมครัว และพื้นที่ทำกิจกรรม ทำอาหารปาร์ตี้รอบกองไฟกัน
บรรยากาศรอบๆที่พัก มองเห็นวิวแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นตอนพระอาทิตย์ตกตอนเย็น และขึ้นในตอนเช้า
Day 4 Jabal Shams Balcony Walk Hike - Wahiba Sands
เช้าก่อนกลับออกไปยืดเส้นสายด้วยการเดินเขา ไปตามแนวเส้นทาง Hiking เค้าจะมีจุดสังเกตให้เดินตามสัญลักษณ์ธงสีแดงขาวเหลือง จะได้ไม่ออกนอกเส้นทาง ไปกลับใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
ตลอดทางก็จะเจอกับน้องแพะภูเขา บางตัวหลบอยู่ตามโขดหิน บางตัวออกหากินอยู่ตามธรรมชาติ
ขากลับยังได้ของระลึกเป็นสายรัดข้อมือที่ทำจากขนแพะของชาวบ้านแถวนั้นทำมาขายด้วย
ออกเดินทางลงจากเทือกเขา Jabal Shams เพื่อไปสู่ไฮไลท์ของทริปนี้ นั่นก็คือทะเลทราย อันมีชื่อเสียงของประเทศโอมาน ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ระยะทาง 260 กม.
มาถึงจุดเริ่มต้นทางเข้าทะเลทรายก็ต้องเตรียมตัวกันหน่อย เช็กสภาพรถ ลมยางให้พร้อม ถ้าใครขับรถธรรมดามาต้องจอดไว้ แล้วจ้างรถ 4W เข้าไป
อีกไม่กี่นาที พระอาทิตย์ก็จะตก แสงก็จะหมดแล้ว รีบเหยียบคันเร่งไปเลยลวกพี่...
การขับรถบนทะเลทรายอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับบางคน ขนาดเป็นคนนั่งยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเหมือนเล่นรถไฟเหาะ
ทะเลทรายแห่งนี้มีชื่อว่า Wahiba Sands (رِمَال وَهِيْبَة) เป็นหนึ่งในทะเลทรายที่สวย และใหญ่ที่สุดของโอมาน กินพื้นที่กว่า 12,500 ตารางกิโลเมตร มองไปทางไหนก็สุดลูกหูลูกตา มีแต่ท้องฟ้า และผืนทราย
คืนนี้เปลี่ยนบรรยากาศมาตั้งแคมป์ กินลม นอนชมดาว กลางทะเลทราย อากาศช่วงกลางคืนถือว่าเย็นสบายเลยทีเดียว พอตกดึก กระแสลมเริ่มสงบ เลยออกมานอนเต๊นท์ จนถึงเช้า
Day 5 Camel Riding - Wadi Bani Khalid - Al Khaluf
แสงแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะร้อนไปกว่านี้ อีกหนึ่งภารกิจที่ต้องทำ คือขี่อูฐ เพราะถ้าไม่ได้ขี่ เหมือนมาไม่ถึง
การขี่อูฐจะใช้เวลาไปกลับประมาณ 15 นาที ไม่นาน เพราะร้อนมาก ซึ่งจะมีเจ้าของอูฐคอยจูงเดินตามกันไป
ที่นี่ยังมี Desert Camp ให้บริการนักท่องเที่ยวมีทั้งแบบราคาประหยัดหลักพัน ไปจนถึงแบบ Luxury ราคาหลักหมื่นเลยก็มี สำหรับใครที่ไม่อยากตั้งแคมป์กางเต๊นท์นอน
พักจิบกาแฟ ก่อนออกจากทะเลทราย ไปหาที่สดชื่นกันต่อที่ Wadi Bani Khalid Pool & Cave (وادي بني خالد) ที่อยู่ห่างออกไป 60 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม.ครึ่ง
Wadi Bani Khalid Pool & Cave เป็นโอเอซิสแหล่งน้ำธรรมชาติอีกแห่งที่สวยงาม พร้อมกับวิวภูเขาเป็นฉากหลัง สามารถลงไปเล่นน้ำได้ บางจุดน้ำค่อนข้างลึกอาจจะต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อย
จุดหมายต่อไป ซึ่งไม่ได้อยู่ในแพลนของทริปนี้ เพราะอยู่ไกลมาก ไม่ค่อยมีใครไปกันเท่าไร แต่ได้ยินว่ามัน Amazing มาก เป็นทะเลทรายสีขาว ที่อยู่ติดกับชายหาด ชื่อว่า Sugar Dunes
จาก Wadi Bani Khalid ออกมา ใช้เวลา 5 ชม. ระยะทาง 350 กม. เหมือนขับรถอ้อมทะเลทรายมาอีกฝั่ง ระหว่างทางถนนสายนี้จะได้เห็นอูฐเดินริมทาง เดินข้ามถนน ต้องขับรถแบบคอยระวังเพราะบางตัวข้ามไม่เก่ง โดนรถชนตายก็มี
ระหว่างทางมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ให้แวะพักถ่ายรูป เพราะกว่าจะไปถึงที่ชายหาดก็มืดพอดี
เข้ามาถึงตัวชุมชนที่นี่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Al Khaluf (شاطئ خلوف) ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงเพราะอยู่ติดกับทะเล ตอนมาถึงคือมืดมากแทบไม่มีแสงไฟ มองอะไรไม่เห็นเลย ไม่รู้มันจะสวยเหมือนในรูปมั้ย คืนนี้ก็เลยตั้งแคมป์นอนริมชายหาดกัน
Day 6 Sugar Dunes - Humrat Cave - Sur - Muscat
ตื่นเช้าลืมตาขึ้นมาก็เห็นแสงจากขอบฟ้า เหนือท้องทะเลสุดแสนกว้างใหญ่ หันไปข้างหลัง โอ้ว..โห นี่มันไม่ใช่แค่ชายหาด แต่มันคือทะเลทรายที่ไม่เหมือนทะเลทรายทั่วไป เพราะเป็นทรายสีขาว สมกับได้ชื่อว่า Sugar Dunes
พอแดดเริ่มออก ความประกายของทรายสีขาวก็เริ่มเผยโฉมออกมา ฝั่งนึงก็เป็นน้ำทะเลสีฟ้า อีกฝั่งก็เป็นทะเลทรายสีขาวสุดลูกหูลูกตา สวยสมกับเป็น Amazing Oman ที่ต้องจดไว้ในลิสต์เลย
ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งจุดชมวิวที่โคตรสวย ชื่อว่า Humrat Cave (غار حومرات) เป็นถ้ำเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ใน Al Khaluf Beach ช่วงน้ำลดสามารถมุดเข้าไปได้ แล้วจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึงเลย
ถ้าใครมาที่นี่อาจจะดูห่างไกลจากตัวเมืองไปซะหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มเหนื่อย และคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมา และก็ไม่คิดว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ในโอมาน
มุ่งหน้ากลับสู่เมือง Sur ระยะทาง 400 กม.ประมาณ 5 ชม.กว่าๆ เพื่อแวะไปจุดชมวิวที่เค้าว่าสวยสุดในโอมาน บนหอคอย Al Ayjah Watch Tower (برج العيجة) ที่มองเห็นเมือง Sur ได้แบบ 360 องศา ยิ่งเป็นช่วงเย็นแสงยิ่งสวย
เมือง Sur (ซูร์) เมืองแห่งทะเลโอมาน เป็นเมืองท่าเรือเก่าแก่ใช้ขนส่งสินค้าของเรือเดินสมุทรจากหลายชาติมากว่า 100 ปี ในคาบสมุทรอารเบียน อินเดีย และแอฟริกาตะวันออก
หลังแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ได้เวลาบอกลาเมือง Sur แล้ว แต่ถึงจะเป็นวันสุดท้าย ก็ยังไม่ใช่ที่สุดท้ายก่อนบินกลับ
กว่าจะถึง Muscat ใช้เวลาเดินทางอีก 200 กม. ประมาณ 2 ชม. 30 นาที เรายังมีเวลาเหลือนิดหน่อย เลยถามไกด์ว่าพอจะแวะ Sultan Qaboos Grand Mosque ได้มั้ย เพราะตั้งแต่มายังไม่มีโอกาสเข้าไปเลย
ก่อนไปสนามบินเลยได้เห็น Sultan Qaboos Grand Mosque ในยามค่ำคืน ซึ่งปกติที่นี่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม วันเสาร์-พฤหัส เวลา 8:30-11:00 น.เท่านั้น (ปิดวันศุกร์) แต่ต้องให้เครดิตไกด์ของเรา ที่ช่วยพาเข้าไปได้ทันเวลา
Sultan Qaboos Grand Mosque (جامع السلطان قابوس الأكبر) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมัสกัต เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอาหรับ ได้รับการออกแบบที่แสดงออกถึงความเป็นโอมานอย่างแท้จริง และใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 6 ปี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 416,000 ตารางเมตร นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าไปเที่ยวชมภายในต้องแต่งกายสุภาพ และสำรวมด้วย
พอได้เข้าภายในห้องโถงใหญ่ ก็เหมือนถูกมนต์สะกดไปด้วยความสวยงามอลังการงานสร้าง พื้นที่ปูด้วยพรมทอมือไร้รอยต่อขนาดมหึมาหนักกว่า 20 ตัน และโคมไฟระย้า ที่เคยเป็น 1 ใน Chandelier ใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็สวยไปหมดทุกมุม แต่เสียดายเวลาเหลือน้อย ต้องเตรียมตัวไปสนามบินแล้ว ไว้ถ้าโอกาสหน้ามาอีกจะลองมาในช่วงกลางวันแบบเต็มตาสักหน่อย
ทริปนี้ถือว่าคุ้มมาก กับการ Road Trip รวมระยะทางกว่า 1,700 กม. และเป็นทริปแรกหลังจากโควิด เลยไม่ได้เที่ยวนาน พอได้มาโอมาน มันโอเคกว่าที่คิดไว้เยอะเลย และยังประทับใจอะไรหลายๆอย่างคนที่นี่ ดูเฟรนด์ลี่ไปหมด ทำให้การมาเที่ยวแถบตะวันออกกลางไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ส่วนที่ไม่ชอบมันก็มี แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคไร เหมือนได้เปิดโลกใหม่ให้กับตัวเอง
อัสซะลามุอะลัยกุม ٱلسَّلَامُ عَلَيْكُمْ
ไกด์ SAEED @Wild East Oman
Comments