ไม่ต้องโฉบไปไกลถึงยุโรป ก็ได้ภาพวิวทะเลสาบ ท่ามกลางภูเขาหิมะ รายล้อมด้วยต้นไม้หลากสี ที่เป็นหนึ่งในฝันของนักเดินทางหลายๆคน จนสักวันต้องทำให้ฝันเป็นจริง เพราะถ้าใครกำลังตามหา "ชัมบาลา" ที่นี่ก็ได้ชื่อว่า "แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย" อยู่ไม่ไกล ทำให้ต้องเปิดใจออกไปพบโลกใหม่ในการเที่ยวจีนมากกว่าที่เคยคิด
"ย่าติง" สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์มานาน จนเริ่มมีนักเดินทางออกไปพิชิตความงดงามของ ทะเลสาบไข่มุก ทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตร พร้อมให้เราได้ท้าทายทั้งร่างกายและหัวใจไปให้ถึงที่สุด
อุทยานแห่งชาติย่าติง (Yading Nature Reserve) อยู่ที่เมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สถานที่แห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1928 และได้มีการนำภาพถ่ายตีพิมลงในนิตยสาร Nation Geographic หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวรู้จัก และไปเยือนมากขึ้น จนได้ชื่อว่าเป็น "แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย" (The Last Shangri-La)
จุดไฮไลท์ของอุทยานย่าติง นั่นก็คือ ทุ่งหญ้าชงกู่ ทุ่งหญ้าลั่วหลง ทะเลสาบไข่มุก ทะเลสาบน้ำนม ทะเลสาบห้าสี
แต่เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ ยังยากต่อการเดินทาง และมีความสูงที่ท้าทายในระดับหนึ่งสำหรับเส้นทางการ trekking ขึ้นไปและจุด จึงต้องมีการเตรียมตัว และการปรับสภาพร่างกายต่อภาวะที่อยู่ในพื้นที่สูง ฤดูการท่องเที่ยวจะเป็นในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน ที่อากาศเริ่มหนาว ใบไม้เปลี่ยนสี
สำหรับเส้นทางการเที่ยวย่าติง มีหลาย Route บางคนอาจจะบินมาลงที่เมืองเต้าเฉิงเลย แต่ต้องบอกก่อนว่า ถ้าร่างกายแข็งแรงไม่พออาจจะไม่สบายได้เพราะปรับสภาพอากาศและระดับความสูงไม่ทัน ในทริปนี้เลยใช้วิธีการเดินทางแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยบินลงคุนหมิง แล้วนั่งรถไปตามเส้นทาง แชงกรีล่า เต้าเฉิง ย่าติง ไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ นอกจากจะไม่เสี่ยงมากแล้ว ยังได้แวะเที่ยวอีกด้วย
พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย....
ทริปนี้ เดินทางระหว่างวันที่ 19-26 ตุลาคม 2018
เริ่มออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ สู่ คุนหมิง ด้วยสายการบิน China Eastern Airline ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. แล้วต่อรถบัสที่ประตูทางออก ไปสถานีขนส่งคุนหมิงสายตะวันออก (Kunming West Bus Terminal) ประมาณ 2 ชม. ลงสุดสาย
ซึ่งคืนนี้ จะต้องเดินทางต่อด้วยรถบัสนอน ไปแชงกรีล่า เที่ยวสุดท้าย 20:30 น. ใช้เวลาประมาณ 12 ชม. ตื่นมาตอนเช้าถึงปลายทางพอดี (การซื้อตั๋วถ้ายังงงกับภาษาจีน ก็ไปที่ขายตั๋วแล้วบอกแค่ว่า "แชงกรีล่า" รอบกี่โมง แล้วยื่นพาสปอร์ต)
ระหว่างรอรถออก ยังพอมีเวลา ก็สามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปเที่ยวเล่นใกล้ๆได้ แต่ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งสัมภาระ และกลัวกลับมาไม่ทัน ก็นั่งเล่นรอบริเวณสถานีขนส่ง มีร้านค้า ร้านอาหาร พอถึงเวลาจะมีประกาศเรียก ให้ดูเลขที่นั่งหรือที่นอน ให้ตรงกับหน้าตั๋ว อ่อ..แล้วก่อนขึ้นทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะบนรถไม่มีห้องน้ำ!! แต่ระหว่างทาง รถจะมีจอดแวะพักประมาณ 1 ชม. ส่วนสภาพรถนอนอาจจะแออัดไปหน่อย แต่ด้วยความที่เหนื่อยขึ้นไปสักพักก็หลับเป็นตาย
8:30 รถก็มาถึงสถานีขนส่งแชงกรีล่า ก่อนออกมาให้ซื้อตั๋วรถ สำหรับขาไปเต้าเฉิงก่อน จากนั้นก็หา taxi หรือรถประจำทาง ไปย่านเมืองเก่า Dukezong Ancient Town ซึ่งเป็นที่พักในคืนนี้
สำหรับวันนี้ ยังมีเวลาครึ่งวัน พอที่จะเที่ยวในแชงกรีล่า อย่างเช่น วัดซงจ้านหลิน Songzanlin เป็นวัดที่สร้างจำลองแบบจากพระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) ของทิเบต ระยะทางไม่ไกลจากย่านเมืองเก่า นั่ง Taxi หรือรถประจำทางไปได้ จะต้องลงรถที่จุดจำหน่ายตั๋วก่อน แล้วนั่งรถบัสต่อไปอีกที
ทางขึ้นวัดซงจ้านหลิน จะค่อนข้างมีความชันมาก ค่อยก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น อย่ารีบเพราะอากาศเริ่มเบาบางจะหายใจลำบาก (คิดซะว่าซ้อมก่อนขึ้นเขาย่าติงก่อนแล้วกัน) บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างเงียบสงบ พื้นที่กว้างไม่วุ่นวาย บางจุดทางวัดจะไม่อนุญาติให้เข้า ใช้เวลาเดินชมรอบๆ ประมาณ 3 ชม. ขากลับก็ขึ้นรถบัสที่จุดเดิมแล้วต่อรถประจำทางสาย 3 มาย่านเมืองเก่าได้เลย เพื่อไปอีกหนึ่งวัดที่มีกงล้อยักษ์ มองเห็นแต่ไกล นั่นก็คือ วัดต้าฝอ (Dafo Temple)
วัดต้าฝอ ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถเดินขึ้นไปชมได้ฟรี แล้วจะพบกับกงล้อขนาดมหึมา สามารถหมุนได้นะ แต่ต้องใช้แรงหลายคนช่วยกันหมุน จากนั้นสามารถเดินไปย่านเมืองเก่า Dukezong Ancient Town ได้เลย พอตกเย็นๆ นักท่องเที่ยวจะมาเดินเป็นจำนวนมาก เพราะร้านค้า ร้านอาหาร เริ่มเปิดกันมากขึ้น มีทั้งของฝาก อาหารพื้นเมือง หรือ สุกี้ Hot Pot ที่มีให้เลือกหลายร้าน
สำหรับวันนี้ ที่แชงกรีล่า ก็ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องพอหอมปากหอมคอ เพื่อเก็บแรงเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น มุ่งหน้าสู่เมืองเต้าเฉิง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชม. เส้นทางจะลัดเลาะไปตามภูเขา วิวข้างๆ ก็จะเป็นหน้าผา หรือไม่ก็เหว ผ่านทะลุอุโมงค์เป็นบางช่วง บอกเลยว่าหลับไม่ลง ระยะทางอาจจะดูน่าเบื่อ แต่วิวข้างทางนั้นสวยมาก
เดินทางมาถึงสถานีขนส่งเต้าเฉิงช่วงเย็นๆ ก็เดินเข้าที่พักได้เลย ที่นี่จะเริ่มมีกลิ่นอาย และบรรยากาศความเป็นทิเบตเข้ามาแล้ว เพราะถือว่าเป็นประตู่สู่ย่าติง โดยเราจะใช้ที่นี่เป็นที่พัก และทิ้งสัมภาระใหญ่ๆเอาไว้ และไปพักในอุทยาน 1 คืน ค่อยกลับมา
การเดินทางไปย่าติง บางคนอาจจะนั่งรถบัสยิงยาวไปพักที่โน้นเลย แต่ที่พักอาจจะไม่เยอะมาก แต่ถ้าใครพักเต้าเฉิง สามารถหารถเหมาไปได้ ตกลงราคากันให้เรียบร้อย หรือจะหาคนแชร์ไปด้วยก็ได้ แล้วนัดเวลาออกเดินทางกัน คนขับรถจะมารับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. ระหว่างสามารถลงไปแวะถ่ายรูปได้ แต่อากาศจะค่อนข้างหนาว 2-5 องศา
รถจะมาส่งที่ด้านหน้าทางเข้าอุทยาน เพื่อซื้อตั๋วที่ Yading Nature Reserve Ticket Office ก่อน (ตั๋วอุทยานย่าติง จะเป็นราคารวมค่าเข้าอุทยาน กับค่ารถบัส สามารถใช้ได้ 2 วัน)
พอได้ตั๋วมาแล้ว ก็รอรถบัสอุทยาน เพื่อนั่งเข้าไปในตัวอุทยานอีกประมาณ 2 ชม. รถจะแวะจอดส่งคนที่หน้าหมู่บ้าน Yading Village ซึ่งถ้าใครจะพักที่นี่ ก็ต้องลงก่อน ที่พักส่วนใหญ่ต้อง walk-in มาหาหน้างานเอาเอง ไม่ค่อยมีให้จอง ซึ่งห้องที่ได้มา มันดีมากกกก เห็นวิวยอดเขาหิมะจากหน้าต่างเต็มๆ และที่นี่เค้ามีบริการวัดความดันร่างกาย เพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละห้องจะต้องปรับสภาพอากาศให้เหมาะกับแต่ละคน
หลังจากหาที่พักได้เรียบร้อยแล้ว ก็รอรถบัสที่จุดเดิมหน้าหมู่บ้าน เพื่อนั่งต่อไปสุดสาย ตลอดทางจะค่อยๆเห็นภูเขาหิมะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงปลายทางที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ Trekking
เส้นทางการเที่ยวอุทยานย่าติง ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมกัน มี 2 เส้นทาง ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน เพื่อเก็บจุดไฮไลท์ให้ได้มากที่สุด โดยวันแรกขอเลือกเป็นเส้นทางที่โหดที่สุดก่อนแล้วกัน เพื่อไปยังทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี ที่เป็นจุดสูงสุด
หลังจากลงรถบัสแล้ว ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ จะมีจุดบริการรถรับส่ง ซื้อตั๋วไป-กลับ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เพราะระยะทางประมาณ 6.7 กม. (ถ้าใครอยากเดินชมธรรมชาติก็ได้ แต่ต้องยอมเสียเวลา) เพราะขากลับต้องให้ทันก่อน 18:00 น.
อย่าเพิ่งคิดว่ามีรถรับส่งแล้วจะสบาย เพราะยังเหลือระยะทางอีกไกลที่ต้องใช้แรงเดิน เพราะรถจะมาจอดแค่หน้าทุ่งหลัวหลง ที่เป็นลานทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แบบสุดลูกหูลูกตา มาเวลานี้ต้นหญ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง มีม้าเดินกินหญ้า และที่ตั้งตระหง่าอยู่ตรงหน้า ก็คือภูเขาหิมะอันศักดิ์สิทธิ์ และจุดหมายปลายทางของเรา
เดินตามเส้นทางที่เป็นสะพานไม้ไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้เข้าสู่ทางเดินที่เป็นเขา จะมีบริการขี่ม้าพาไปส่ง (ราคาแพงมาก) แต่ก็ไม่ได้ไม่ไกลมากนัก เลือกเดินเอาดีกว่า ช่วงแรกเส้นทางยังสบาย เดินเรื่อยๆ มีหยุดบ้างพักบ้าง อีก 5 กม. ทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ (ควรพกออกซิเจนประป๋องติดตัวมาด้วยนะ) อากาศเริ่มเบาบางอย่างรู้สึกได้ชัด บางคนเดินแค่ 5 ก้าว ก็ต้องหยุดพัก เพราะหายใจไม่ทัน แนะนำให้เตรียมน้ำ ข้าวกล่องที่กินง่ายๆ หรือน้ำหวานติดตัวไปไว้จิบระหว่างทางจะช่วยให้ดีขึ้นได้ หิวตอนไหนก็นั่งแวะพักกินระหว่างทางได้เลย
หลังจากนี้ อีก 2 กม.ต้องใช้แรงกาย และแรงใจ แต่พอใกล้ถึงเหมือนแรงใกล้หมด ดูจากสภาพแต่ละคนที่เกาะอยู่ตามโขดหินเขารายทาง แต่ไหนๆ ขึ้นมาแล้วก็ต้องไปให้สุด พยายามนึกถึงภาพที่เราดูมาจากบ้านเพื่อใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ก้าวต่อไป
เหลืออีกไม่กี่เมตร แม้เป็นระยะทางสั้นๆ แต่ความชัน และแรงลมที่คอยต้านเราอยู่ จุดหมายตอนนี้มีให้เลือก 2 ทาง ขึ้นไปทะเลสาบห้าสี (Five Color Lake) ที่ความสูง 4,700 เมตร แต่ถ้าถอดไปก็ไปแค่ทะเลสาบน้ำนม เพราะอยู่ใกล้ๆ กัน และเดินไปง่ายกว่า
ระหว่างใกล้ถึงทะเลสาบห้าสี ก็เริ่มมีคนทะยอยเดินกันลงมาพร้อมเสียงบ่นพึมพำแต่ฟังไม่ออก ตอนนั้นถ้าให้เดาน่าจะบ่นว่าขึ้นไปแล้วไม่มีอะไร หรือว่าไม่มีน้ำ!! แต่มาถึงขนาดนี้ใครจะไปถอดใจล่ะ ขึ้นต่อไปสิ...(ใช้สติ และเดินให้ช้าๆ) จนในที่สุดก็ถึงจนได้....
เมื่อถึงแล้วความอัดอั้นต่างๆ ก็ค่อยๆดีขึ้น ทำใจให้สบายๆ มองวิวสวยๆ ไปรอบๆ ชมความงดงามที่อยู่เบื้องหน้า ถึงแม้ปริมาณน้ำจะน้อย แต่ก็ยังได้เห็นความสวยงามของสีสันน้ำในทะเลสาบ พอหันไปอีกฝั่ง จะเห็นน้ำสีฟ้ามาแต่ไกล นั่นคือทะเลสาบน้ำนม (Milk Lake) ที่ความสูงระดับ 4,600 เมตร สามารถเดินลงมาตามไหล่เขา ประมาณ 1 กม. ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าสวยกว่าทะเลสาบห้าสีซะอีก
ทะเลสาบน้ำนมเป็นที่นิมยมของช่างภาพ ด้วยวิวที่สวยงาม ตัดกับสีฟ้า และความอลังการที่มี Background เป็นภูเขาหิมะตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
พอได้เวลาอันควร ก็เตรียมตัวเดินกลับตามเส้นทางเดิม และต้องทำเวลาให้ทันเวลาก่อนรถเที่ยวสุดท้ายหมด เพราะถ้าออกมาไม่มัน ติดอยู่อยู่ในอุทยานบนเขาในช่วงเวลากลางคืนลำบากแน่ๆ
วันรุ่งขึ้นเรายังเหลือภารกิจอีกครึ่งวัน กับอีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ทะเลสาบไข่มุก เป็นเส้นทางที่ไม่ลำบากมาก แต่ก็เหนื่อยระดับนึง โดยเราจะเก็บสัมภาระออกมาจากที่พักตั้งแต่เช้า นั่งรถบัสเข้ามาเหมือนเดิม แต่เส้นทางไปทะเลสาบไข่มุก ไม่จำเป็นต้องนั่งรถ สามารถเดินไปได้ ระหว่างทางจะเห็นน้ำตก ลำธาร ริ้วธง และศิลปะมากมาย จนถึงถึงวัดชงกู่ (Chonggu Monastery)
เดินขึ้นเขาตามทางสะพานเหล็ก สลับกับขั้นบันได ระยะทางประมาณ 1.5 กม. ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ จะได้เห็นภูเขาหิมะใกล้ๆ แสดงว่าเกือบถึงทะเลสาบไข่มุกแล้ว
มีน้องกระรอกตัวน้อยๆ ออกมาทักทายเป็นระยะ ระหว่างทางเดินไปทะเลสาบไข่มุก และก่อนถึงทะเลสาบยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ กับวิวภูเขาหิมะ ได้พักเหนื่อยกันด้วย
ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake หรืออีกชื่อ Zhuoma La Lake) ความสูงที่ 4,100 เมตร จุดเด่นคือ น้ำในทะเลสาบจะเป็นสีเขียว และมีภูเขาหิมะตั้งอยู่ตรงหน้า รายล้อมด้วยต้นไม้สีเหลืองทอง อีกหนึ่งจุดที่นิยมถ่ายภาพกัน
แนะนำให้มากันแต่เช้า เพราะถ้าช่วงสายๆ นักท่องเที่ยวจะมากันเป็นจำนวนมาก และอาจเป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปที่เป็นมุมมหาชน
หลังจากนี้ ขอทิ้งเอาความเหนื่อยที่ผ่านมาทั้งหมดไว้ที่แห่งนี้ แล้วเก็บเอาความสุข ความประทับใจกลับไป
ขาออกจากอุทยาน ก็นั่งรถบัสยาวได้เลยเพราะไม่ต้องแวะหมู่บ้านแล้ว จากนั้นต้องหาเหมารถกลับเข้าเมืองเต้าเฉิง หรือถ้าต้องรอคนแชร์ร่วมทางกันไปอาจจะใช้เวลาสักพักนึง สำหรับเวลาที่เหลือวันนี้และวันต่อไปไม่มีอะไรนอกจากการเดินทาง โดยขากลับเราจะนั่งรถบัสกลับแชงกรีล่า ในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วนั่งเครื่องบินภายในต่อไปคุนหมิง จะได้ไม่เหนื่อยมาก หรือถ้าใครจะบินภายในจากเต้าเฉิง ไปคุนหมิงเลยก็ได้ แต่ตั๋วค่อนข้างแพง
2 วันสุดท้ายที่คุนหมิง เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ขอแวะไปเที่ยวถ้ำ Jiuxiang Caves ที่มีชื่อเสียงเป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของมณฑลยูนนาน ภายในมีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา และเป็นโพรงระยะทางยาวกว่า 3 กิโลเมตร ถูกตกแต่งด้วยแสงไฟหลากสีสัน
ก่อนทางเข้าถ้ำ จะได้นั่งเรือชมบรรยากาศลำธารท่ามกลางหุบเขา และค่อยๆเดินขึ้นไปในตัวถ้ำ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. จนถึงทางออก แล้วขาลงค่อยนั่งกระเช้าลงมา
ส่วนวันสุดท้าย พอมีเวลาเดินเที่ยวเล่นแบบชิลๆ ในตัวเมืองคุนหมิง ก่อนเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
ย่าติง ถือเป็นจุดหมายการเที่ยวจีนครั้งแรก ที่เหนื่อย แต่คุ้มค่ากับการเดินทาง และได้เปิดโลกใหม่ ได้เรียนรู้จากธรรมชาติมากขึ้น และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
VIDEO
Kommentare